วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551
♦Lพิ่มความจำให้สมอง♦
สมอง ก็เหมือนส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ที่ต้องออกกำลังบริหารอยู่เสมอ เพื่อให้คงอยู่ในสภาพดี นอกจากจะส่งผลให้สมองโลดแล่นแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของการจดจำด้วย สำหรับใครที่เป็นคนขี้หลงขี้ลืม อาจเป็นเพราะละเลยการบำรุงสมองไป ‘เกร็ดน่ารู้’ วันนี้ มีวิธีเพิ่มความจำให้สมอง ด้วยหลักปฏิบัติง่าย ๆ มาฝากกัน
1.อาหารเพิ่มความจำ อยู่ในอาหารกลุ่มวิตามินบี เช่น นมพร่องมันเนย กล้วย ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่าง ๆ ผัก ผลไม้ ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน
- กลุ่มธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล มีผลต่อไอคิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ซึ่งเกี่ยวกับระบบการคิด
- ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บำรุงเซลล์สมอง
- ปลาที่มีโอเมก้า 3 อาทิ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ช่วยป้องกันความจำเสื่อม
2.ออกกำลังเพิ่มความจำ การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายให้หลากหลายประเภท เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองจากการฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือว่ายน้ำ เป็นต้น
3.นอนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำ
4.บริหารสมอง อาทิ การเล่นหมากรุก หมากล้อม เล่นเกมคอร์สเวิร์ด ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ความคิด เซลล์สมองจะเจริญเติบโตมากขึ้น ความสามารถในการจำก็จะดีขึ้นด้วย
หลักง่าย ๆ ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพียงเท่านี้...ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน สมองก็ยังมีประสิทธิภาพ ความจำก็ยังดีอยู่เสมอ.
วันเสาร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
׺°”˜`”°º× Peter Pan ׺°”˜`”°º×
Pour certains commentateurs, le personnage a pu être inventé par Barrie dans le souvenir du deuil de son frère aîné David, mort à 13 ans. Sa mère ne s'en remit jamais vraiment. Pour Andrew Birkin, auteur de J.M. Barrie and the Lost Boys, « Si Margaret Ogilvy trouvait du réconfort dans l'idée que David en mourant enfant, resterait un enfant à jamais, Barrie y trouva son inspiration. »
Peter Pan fait sa première apparition imprimée en 1902 dans le livre The Little White Bird (littéralement, le petit oiseau blanc , dont la traduction française vient de sortir, pour la première fois, plus de cent ans après sa création), qui servit pour créer la pièce de théâtre Peter Pan or The Boy Who Wouldn't Grow Up (Peter Pan ou le garçon qui ne voulait pas grandir). La première eut lieu à Londres le 27 décembre 1904. En 1906, la partie de The Little White Bird concernant Peter Pan est publiée seule : Peter Pan in Kensington Gardens, illustrée par Arthur Rackham. Enfin, Barrie adapta la pièce en un roman publié en 1911 et titré Peter and Wendy, connue actuellement sous le titre Peter Pan.
Pendant le milieu du XXe siècle, le prénom "Wendy" devint populaire en Angleterre grâce au personnage du roman.
Une statue de George Frampton a été érigée dans Kensington Gardens à Londres. Peter Pan y est représenté en train de jouer de la flûte.
[ Histoire ]
L'œuvre complète est accessible dans un lien de cette section.
Ce vendredi soir, la voie est libre pour Peter Pan, le petit garçon qui refuse de grandir : Mr et Mrs Darling sont absents et la chienne Nana, qui tient lieu de nurse à leurs enfants Wendy, John et Michael, a été enchaînée dans le jardin.
Venu récupérer son ombre abandonnée lors d’une précédente visite, Peter se trouve face à Wendy. Avide des histoires qu’elle pourra lui raconter et du rôle de mère, fantasmé, qu'elle pourrait accomplir, il la persuade de le suivre jusqu’au Pays imaginaire (Neverland ou en néerlandais Fantasieland)
Wendy devra s’y défendre de la jalousie de la fée Clochette (Tinker Bell) et veiller sur la petite famille des garçons perdus, jadis tombés de leur landau, dont elle devient la mère. Emmenés par Peter Pan, Wendy et ses frères vivront d’extraordinaires aventures auxquelles seront mêlées les Peaux Rouges et Lily La Tigresse (Tiger Lily), mais surtout les Pirates et leur chef, le fameux Capitaine Crochet (traditionnellement joué dans les adaptations par le même acteur que Mr. Darling, le père des enfants), qui n’a jamais pardonné à Peter de lui avoir coupé la main avant de la jeter en pâture au Crocodile qui le poursuit depuis sans trêve depuis...
วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
« เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ พระราชพิธีพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางฯ »
๑. สางพระเกศาขึ้น-ลง 1 ครั้ง แล้วหักพระสางทิ้ง การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สางพระเกศาพระศพขึ้น 1 ครั้ง ลง 1 ครั้ง แล้วหักพระสางวางไว้ในพาน แสดงถึงว่าเป็นการสาง (หวี) พระเกศาครั้งสุดท้าย สางพอเป็นสัญลักษณ์พอเป็นพิธี เพื่อแสดงว่าไม่ต้องการความสวยงามใดๆ อีกแล้ว เป็นเครื่องหมายว่าหมดประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นต้องแต่งกายใดๆ อีกแล้ว และเมื่อหักสางทิ้งไปแล้ว ก็จะเอาไปไว้ที่ไหนก็ได้ ซึ่งเหมือนกับประเพณีของประชาชนด้วย ที่แสดงว่าจะไม่ได้ใช้สางนั้นอีกต่อไปแล้วจึงต้องหักทิ้งไป
๒. เศวตฉัตรประกอบพิธีพระศพ เศวตฉัตรประกอบพิธีพระศพนั้นจะแตกต่างกันไป ตามพระอิสริยยศที่แตกต่างกัน
ฉัตร 9 ชั้น : พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ฉัตร 7 ชั้น : สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระบรมราชกุมารี
ฉัตร 5 ชั้น : สมเด็จเจ้าฟ้า ในส่วนพิธีพระศพของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ นั้นจะเรียกว่า "เบญจปฎลเศวตฉัตร" หมายถึงฉัตรขาวที่มีเพดาน 5 ชั้น
ขั้นตอนเมื่อเชิญพระศพมายังพระบรมมหาราชวังแล้ว จะเชิญพระศพไปประดิษฐานที่พระที่นั่งพิมานรัตยา ซึ่งอยู่ด้านหลังทางทิศใต้ของพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ซึ่งพระที่นั่งองค์นี้จะเป็นวิมานที่บรรทมของพระมหากษัตริย์ และสมเด็จพระอัครมเหสี และเจ้านายฝ่ายในชั้นสูง แต่ในระยะหลังจะใช้เป็นที่ประดิษฐานพระศพ ในการสรงน้ำพระศพ เมื่อสรงน้ำพระศพที่พระที่นั่งพิมานรัตยาแล้วจึงจะอัญเชิญพระศพไปประดิษฐานที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท การประดิษฐานพระศพตามราชประเพณีอยู่ทางมุขด้านตะวันตก พระโกศสำหรับสมเด็จเจ้าฟ้าจะใช้พระโกศทองใหญ่ และใช้เครื่องสูงทองแผ่ลวด มุขด้านใต้จะเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร (พระประจำวันเกิด) ซึ่งพระพุทธประจำพระชนมวารของสมเด็จพระพี่นางเธอฯ คือ พระพุทธรูปปางถวายเนตร ซึ่งเป็นปางประจำวันเกิดวันอาทิตย์ งานหลังจากนี้ต่อไปจนถึง 100 วัน จะเป็นการพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม พระพิธีธรรมจะเป็นงานที่ใช้เฉพาะงานหลวง จะสวดทั้งวันทั้งคืน มีการย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง มีปี่ กลอง ประโคม ด้วยทำนองที่เศร้าสร้อย ในวันที่ 9 มกราคม 2551 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า โปรดกระหม่อม ให้พนักงานจัดเศวตฉัตรขึ้นเป็น ๗ ชั้น กางกั้นพระโกศ โดยอนุโลมตามโบราณราชประเพณี พระราชทานเป็นเครื่องเฉลิมพระเกียรติยศให้ปรากฏสืบไป
๓. ประโคมย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง การสวดพระพิธีธรรมพระอภิธรรม จะมีการประโคมย่ำยามทุก 3 ชั่วโมง มีปี่ กลอง ประโคม ด้วยทำนองที่เศร้าสร้อย ตั้งแต่ 06.00 น. 09.00 น. 12.00 น. ไปจนถึง 24.00 น. เพื่อบอกเวลาว่าครบ 3 ชั่วโมง ก็จะประโคมขึ้นหนึ่งครั้ง ส่วนการสวดพระอภิธรรมจะสวดทั้งวันทั้งคืน แต่จะมีเวลาพักเว้นระยะเป็นช่วงๆ อาจจะหยุดพักสัก 10-15นาที ซึ่งจะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของเจ้านายชั้นสูงขึ้นไป โดยหลักคิดก็จะไม่แตกต่างกับการจัดงานศพของประชาชนทั่วไปตามหลักพระพุทธศาสนา แต่อาจจะเพิ่มรายละเอียด ปริมาณและคุณภาพเข้ามา ขึ้นอยู่กับความพร้อมของเจ้าภาพที่จะจัดงานนอกจากนี้จะมีการบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 50 วัน และ 100 วัน พิธีกรรมก็จะเหมือนกัน นั่นคือ มีการสวดมนต์ แสดงพระธรรมเทศนา 1 กัณฑ์ ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์ สดับปกรณ์ (บังสุกุล)
๔. สมเด็จพระพี่นางเธอฯ อยู่ในลำดับพระอิสริยยศชั้น "เจ้าฟ้า" ภาษาที่ใช้เรียกในการประกอบพิธีพระบรมศพ พระศพ จะแตกต่างกันตามพระอิสริยยศ โดยสมเด็จเจ้าฟ้า จะเรียกว่า "พระศพ" ส่วนพระยศที่สูงกว่า ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สมเด็จพระบรมราชกุมารี จะเรียกว่า "พระบรมศพ" ส่วนพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ ตามราชประเพณีจะสร้างพระเมรุในช่วงฤดูแล้งประมาณเดือนมีนาคม เมษายน ทั้งนี้แล้วแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
๕. การแต่งฉลองพระองค์ไว้ทุกข์ การแต่งกายของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ สำหรับการไว้ทุกข์มี 2 แบบ ฉลองพระองค์เต็มยศ และฉลองพระองค์แบบสากล แบบแรกฉลองพระองค์ไว้ทุกข์ด้วยเครื่องแบบเต็มยศ สายสะพายจักรี ติดแขนทุกข์ใต้พระกรซ้าย และจะฉลองพระองค์เครื่องแบบเต็มยศสายสะพายจักรี ในการบำเพ็ญพระราชกุศลเมื่อครบ 7 วัน 50 วัน 100 วัน และวันออกพระเมรุ ส่วนแบบสากลฉลองพระองค์สูทสีดำ ติดแขนทุกข์ใต้พระกรซ้าย สำหรับข้าราชการ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็แต่งกายไว้ทุกข์ตามราชประเพณีตามแต่จะมีหมายกำหนดการกำหนดแจ้งไว้ ส่วนประชาชนก็แต่งกายไว้ทุกข์แบบสุภาพตามประเพณีที่ปฏิบัติ
๖. ขบวนรถอัญเชิญพระศพเป็นแบบเรียบง่ายโดยรถโรงพยาบาล ขบวนรถจะจัดอย่างไรก็ได้ไม่มีระเบียบแบบแผน และจะเป็นแบบเรียบง่ายที่ปฏิบัติกันมาในอดีตก็จะอัญเชิญโดยรถโรงพยาบาลเหมือนกันทุกพระองค์
วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551
«·´`·.(`·.¸ เคล็ดลับเรียนเก่ง... ¸.·´).·´`·»
วันนี้พี่มีเคล็ดลับการเป็นอัจฉริยะของไอสไตน์มาฝาก เผื่อว่าจะนำไปปรับใช้ในการเรียน การสอบไล่ของเราได้ไง อิอิ จะได้เป็นอัจฉริยะกันถ้วนหน้าเลย
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ พยายามจะอธิบายว่า การค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ทุกอย่างของเขา มาจากจินตนาการ และถ้าจะเทียบระหว่างความรู้ กับ จินตนาการ เขาบอกว่า จินตนาการสำคัญกว่า จินตนาการเป็นเชาว์ปัญญาขั้นสูงสุด และมันจะนำไปสู่การค้นพบสิ่งใหม่ๆได้อย่างไม่สิ้นสุด ขณะที่มีชีวิตอยู่ เขาย้ำนักย้ำหนาหลายต่อหลายครั้งกับนักศึกษาที่เขาสอน และต่อที่ประชุมนักวิทยาศาสตร์อยู่บ่อยๆว่า “จินตนาการ สำคัญมากกว่าความรู้” แต่เขาก็ไม่อธิบายต่อว่า เพราะอะไร จินตนาการจึงสำคัญกว่าความรู้
นักเรียนที่เรียนเก่ง ก็ค้นพบความลับนี้ เขาจะกลับมานั่งคิดและจินตนาการต่อที่บ้านเสมอ นักเรียนทุกคนในห้อง เรียนกับอาจารย์คนเดียวกัน บรรยากาศเดียวกัน แต่ความสามารถในการจินตนาการต่างกัน สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันในหมู่เด็กที่เรียนเก่งคือ จะมีจินตนาการสูงมาก ความลับนี้เขาไม่ได้บอกใคร อาจเพราะไม่อยากบอก หรือ ไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไร เด็กที่เรียนเก่งทุกคนจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ คือเมื่อเห็นภาพปุ๊บ เขาจะใส่ความรู้สึกเข้าไปปั๊บ เกิดขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน โดยที่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไม แต่สิ่งเหล่านี้สามารถฝึกได้
ประสบการณ์ที่เหมือนกันเปี๊ยบระหว่างคนสองคน จึงส่งอิทธิพลต่อวิถีชีวิตได้ไม่เท่ากัน เพราะความสามารถในการจินตนาการต่างกัน แน่นอนว่า อุปนิสัย ความชอบ ความสนใจ ความถนัด ฯลฯ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้มีพลังแห่งจินตนาการสูงขึ้นหลังจากได้พบกับประสบการณ์จริง พวกเขาจะเห็นภาพแห่งความสำเร็จในเรื่องที่ตนเองชอบหรือถนัด ชัดเจนกว่าคนอื่น จึงมีโอกาสบรรลุเป้าหมายได้ง่ายกว่า
ประสบการณ์จากชีวิตจริง จะประทับลงในจิตใต้สำนึกได้ ต้องมีจินตนาการ เราอาจจะเคยตีแบดมินตัน แต่ผ่านแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่เคยจินตนาการต่ออีก ประสบการณ์ในครั้งนั้นก็สูญเปล่า การตีในครั้งต่อไปเราจะไม่เก่งขึ้น เพราะจิตใต้สำนึกจะเข้าใจภาพแห่งจินตนาการเท่านั้น มันไม่มีส่วนเชื่อมต่อโดยตรงกับทวารทางกายทั้งห้า เหมือนอย่างจิตสำนึก
อัจฉริยะของโลกทุกคน ทุกสาขา ค้นพบความลับสุดยอดนี้แล้ว นักศึกษาแพทย์ที่เก่งๆ จะจินตนาการลักษณะของเส้นเลือดร่างกายแต่ละระบบ พยายามบิวด์ความรู้สึกเขาไป แล้วค่อยไปเรียนรู้ลักษณะย่อยของเส้นเลือดแต่ละเส้นในระบบนั้น นิสิตวิศวกรรมที่เก่งๆ สามารถพิสูจน์สมการทางแคลคูลัสได้ โดยคิดย้อนจากคำตอบขึ้นมา ทำให้ไม่ว่าอาจารย์จะกำหนดสมการแบบไหนมา เขาก็ตอบถูกเสมอ เพราะเอาคำถามของอาจารย์นั่นแหละ เป็นตัวตั้งคิดย้อนขึ้นไปพิสูจน์ ทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่เพราะพวกเขามีมันสมองที่ใหญ่กว่าคนอี่น แต่เพราะพวกเขาพบความลับนี้ อาจจะด้วยพรสวรรค์ หรือ การเรียนรู้ แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ไม่มี
ถ้าเราไปถามศิลปินนักวาดภาพที่เก่งๆ ว่าทำไมถึงวาดภาพได้ขนาดนี้ เขาจะตอบไม่ได้ ทั้งๆที่ ภาพนั้นฝังอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว มือเขาเพียงแต่วาดไปตามความรู้สึกเท่านั้นเอง ศิลปินระดับนี้ จึงต้องบิวด์อารมณ์ก่อนทำงานเสมอ เพราะอารมณ์จะทำให้ภาพในใจชัดเจนยิ่งขึ้น วันไหนไม่มีอารมณ์ จะทำงานไม่ได้เลย
สมองคนเราถูกออกแบบมาให้มีโครงสร้างไม่แตกต่างกัน สิ่งที่ต่างกันคือความสามารถในการจินตนาการ ไอน์สไตน์ จึงบอกว่า จินตนาการสำคัญมากกว่าความรู้ จงพยายามจินตนาการไปแล้วอย่าลืมใส่ความรู้สึกเข้าไปด้วย ในที่สุดมันจะมีพลังมหัศจรรย์จากจิตใต้สำนึก มาขับดันให้คุณเกิดการหยั่งรู้โดยอัตโนมัติ
วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2551
┐└ ┘∟ ...GAT PAT... └ ┘∟「
ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย ปี 2553 เนื่องจากสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test หรือ GAT) และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional Aptitude Test หรือ PAT) เพื่อใช้เป็นคะแนนในการนำไปสอบระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์กลางว่า ตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติว่าการสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2553 นั้นจะใช้ส่วนคะแนนดังนี้1.ปี 2553 ทปอ. จะใช้องค์ประกอบต่อไปนี้ในการยื่น คะแนนเข้ามหาวิทยาลัย
1) GPAX 6 ภาคเรียน 20 %
2) O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30 %
3) GAT 10-50 %
4) PAT 0-40 %รวม 100 %
หมายเหตุ
1. GPAX คือ ผลการเรียนเฉลี่ย สะสม 6 ภาคเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียน รู้
2. GAT คือ General Aptitude Test ความถนัดทั่วไป
3. PAT คือ Professional Aptitude Test ความถนัดเฉพาะ วิชาชีพ2.รายละเอียดเกี่ยว
กับ GAT
2.รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT
1. เนื้อหา
- การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50%
- การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%
2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย
- คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง
- ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair
- เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก - มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็น
คลังข้อ สอบ
3. จัดสอบปีละหลายครั้ง
- คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
3. รายละเอียดเกี่ยว กับ PAT
PAT มี 6 ชุด คือ
PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์ เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills
PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ
PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์ เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability
PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ
PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์ เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ลักษณะข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ
PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์ เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ
PAT 7 วัดความถนัดทางภาษาต่างประเทศ
วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551
╬ ╠ ╣∷Snow White∷ ╬ ╠ ╣
Once upon a time, long, long ago a king and queen ruled over a distant land. The queen was kind and lovely and all the people of the realm adored her. The only sadness in the queen's life was that she wished for a child but did not have one.
One winter day, the queen was doing needle work while gazing out her ebony window at the new fallen snow. A bird flew by the window startling the queen and she pricked her finger. A single drop of blood fell on the snow outside her window. As she looked at the blood on the snow she said to herself, "Oh, how I wish that I had a daughter that had skin as white as snow, lips as red as blood, and hair as black as ebony."
Soon after that, the kind queen got her wish when she gave birth to a baby girl who had skin white as snow, lips red as blood, and hair black as ebony. They named the baby princess Snow White, but sadly, the queen died after giving birth to Snow White.
Soon after, the king married a new woman who was beautiful, but as well proud and cruel. She had studied dark magic and owned a magic mirror, of which she would daily ask,
Mirror, mirror on the wall, who's the fairest of them all?.
Each time this question was asked, the mirror would give the same answer, "Thou, O Queen, art the fairest of all." This pleased the queen greatly as she knew that her magical mirror could speak nothing but the truth.
One morning when the queen asked, "Mirror, mirror on the wall, who's the fairest of them all?" she was shocked when it answered:
You, my queen, are fair; it is true.But Snow White is even fairer than you.
The Queen flew into a jealous rage and ordered her huntsman to take Snow White into the woods to be killed. She demanded that the huntsman return with Snow White's heart as proof.
The poor huntsman took Snow White into the forest, but found himself unable to kill the girl. Instead, he let her go, and brought the queen the heart of a wild boar.
Snow White was now all alone in the great forest, and she did not know what to do. The trees seemed to whisper to each other, scaring Snow White who began to run. She ran over sharp stones and through thorns. She ran as far as her feet could carry her, and just as evening was about to fall she saw a little house and went inside in order to rest.
Inside the house everything was small but tidy. There was a little table with a tidy, white tablecloth and seven little plates. Against the wall there were seven little beds, all in a row and covered with quilts.
Because she was so hungry Snow White ate a few vegetables and a little bread from each little plate and from each cup she drank a bit of milk. Afterward, because she was so tired, she lay down on one of the little beds and fell fast asleep.
After dark, the owners of the house returned home. They were the seven dwarves who mined for gold in the mountains. As soon as they arrived home, they saw that someone had been there -- for not everything was in the same order as they had left it.
The first one said, "Who has been sitting in my chair?"
The second one, "Who has been eating from my plate?"
The third one, "Who has been eating my bread?"
The fourth one, "Who has been eating my vegetables?"
The fifth one, "Who has been eating with my fork?"
The sixth one, "Who has been drinking from my cup?"
But the seventh one, looking at his bed, found Snow White lying there asleep. The seven dwarves all came running up, and they cried out with amazement. They fetched their seven candles and shone the light on Snow White.
"Oh good heaven! " they cried. "This child is beautiful!"
They were so happy that they did not wake her up, but let her continue to sleep in the bed. The next morning Snow White woke up, and when she saw the seven dwarves she was frightened. But they were friendly and asked, "What is your name?"
"My name is Snow White," she answered.
"How did you find your way to our house?" the dwarves asked further.
Then she told them that her stepmother had tried to kill her, that the huntsman had spared her life, and that she had run the entire day through the forest, finally stumbling upon their house.
The dwarves spoke with each other for awhile and then said, "If you will keep house for us, and cook, make beds, wash, sew, and knit, and keep everything clean and orderly, then you can stay with us, and you shall have everything that you want."
"Yes," said Snow White, "with all my heart." For Snow White greatly enjoyed keeping a tidy home.
So Snow White lived happily with the dwarves. Every morning they went into the mountains looking for gold, and in the evening when they came back home Snow White had their meal ready and their house tidy. During the day the girl was alone, except for the small animals of the forest that she often played with.
Now the queen, believing that she had eaten Snow White's heart, could only think that she was again the first and the most beautiful woman of all. She stepped before her mirror and said:
Mirror, mirror, on the wall,Who in this land is fairest of all?
It answered:
You, my queen, are fair; it is true.But Snow White, beyond the mountainsWith the seven dwarves,Is still a thousand times fairer than you.
This startled the queen, for she knew that the mirror did not lie, and she realized that the huntsman had deceived her and that Snow White was still alive. Then she thought, and thought again, how she could rid herself of Snow White -- for as long as long as she was not the most beautiful woman in the entire land her jealousy would give her no rest.
At last she thought of something. She went into her most secret room -- no one else was allowed inside -- and she made a poisoned apple. From the outside it was beautiful, and anyone who saw it would want it. But anyone who might eat a little piece of it would died. Coloring her face, she disguised herself as an old peddler woman, so that no one would recognize her, traveled to the dwarves house and knocked on the door.
Snow White put her head out of the window, and said, "I must not let anyone in; the seven dwarves have forbidden me to do so."
"That is all right with me," answered the peddler woman. "I'll easily get rid of my apples. Here, I'll give you one of them."
"No," said Snow White, "I cannot accept anything from strangers."
"Are you afraid of poison?" asked the old woman. "Look, I'll cut the apple in two. You eat half and I shall eat half."
Now the apple had been so artfully made that only the one half was poisoned. Snow White longed for the beautiful apple, and when she saw that the peddler woman was eating part of it she could no longer resist, and she stuck her hand out and took the poisoned half. She barely had a bite in her mouth when she fell to the ground dead.
The queen looked at her with an evil stare, laughed loudly, and said, "White as snow, red as blood, black as ebony wood! The dwarves shall never awaken you."
Back at home she asked her mirror:
Mirror, mirror, on the wall,Who in this land is fairest of all?
It finally answered:
You, my queen, are fairest of all.
Then her cruel and jealous heart was at rest, as well as a cruel and jealous heart can be at rest.
When the dwarves came home that evening they found Snow White lying on the ground. She was not breathing at all. She was dead. They lifted her up and looked at her longingly. They talked to her, shook her and wept over her. But nothing helped. The dear child was dead, and she remained dead. They laid her on a bed of straw, and all seven sat next to her and mourned for her and cried for three days. They were going to bury her, but she still looked as fresh as a living person, and still had her beautiful red cheeks.
They said, "We cannot bury her in the black earth," and they had a transparent glass coffin made, so she could be seen from all sides. They laid her inside, and with golden letters wrote on it her name, and that she was a princess. Then they put the coffin outside on a mountain, and one of them always stayed with it and watched over her. The animals too came and mourned for Snow White, first an owl, then a raven, and finally a dove.
Now it came to pass that a prince entered these woods and happened onto the dwarves' house, where he sought shelter for the night . He saw the coffin on the mountain with beautiful Snow White in it, and he read what was written on it with golden letters.
Then he said to the dwarves, "Let me have the coffin. I will give you anything you want for it."
But the dwarves answered, "We will not sell it for all the gold in the world."
Then he said, "Then give it to me, for I cannot live without being able to see Snow White. I will honor her and respect her as my most cherished one."
As he thus spoke, the good dwarves felt pity for him and gave him the coffin. The prince had his servants carry it away on their shoulders. But then it happened that one of them stumbled on some brush, and this dislodged from Snow White's throat the piece of poisoned apple that she had bitten off. Not long afterward she opened her eyes, lifted the lid from her coffin, sat up, and was alive again.
"Good heavens, where am I?" she cried out.
The prince said joyfully, "You are with me." He told her what had happened, and then said, "I love you more than anything else in the world. Come with me to my father's castle. You shall become my wife." Snow White loved him, and she went with him. Their wedding was planned with great splendor and majesty.
Snow White's wicked step-mother was invited to the feast, and when she had arrayed herself in her most beautiful garments, she stood before her mirror, and said:
Mirror, mirror, on the wall,Who in this land is fairest of all? The mirror answered:
You, my queen, are fair; it is true.But the young queen is a thousand times fairer than you.
Not knowing that this new queen was indeed her stepdaughter, she arrived at the wedding, and her heart filled with the deepest of dread when she realized the truth - the evil queen was banished from the land forever and the prince and Snow White lived happily ever after.
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551
Un pain long et mince (Une baguette)
La croûte des baguettes est très croustillante et dorée, tandis que l'intérieur, la mie, est blanche et moelleuse. En principe, elle reprend sa forme si on la presse. C'est un critère pour savoir si le pain est de qualité.
Dans le monde, la baguette est un des symboles typiques de la France et plus particulièrement de Paris. Au même titre que le vin, le béret ou le fromage, elle est devenue un symbole alors même qu'il existe d'autres variétés de pains en France et que les baguettes se trouvent aujourd'hui dans tous les pays.
Une autre théorie veut que ce style de pain ait été inventé à Vienne et importé en France pendant le XIXe siècle. La baguette se serait développée à Paris dans les années 1920, du fait qu'elle nécessitait un temps de levage et de cuisson moindre que les pains traditionnels. En effet, ce serait à la suite d'une loi interdisant aux boulangers le travail avant 4 heures du matin, ce qui ne laissait pas le temps de préparer la boule traditionnelle. On manque également de preuves sur cette version.
En France, il n'est pas rare de tartiner au petit déjeuner une baguette de pain avec du beurre et de la confiture, voire de tremper la tartine ainsi préparée dans un bol de café ou de chocolat.
Différents pains allongés ne sont pas toujours des baguettes : le pain est un peu plus sphérique. Plus étiré, c'est une ficelle.
En France, seuls les produits contenant les quatre ingrédients du pain (eau, farine, levain et sel) peuvent être appelés « pain ».
Dans la région lyonnaise, l'usage des noms est différent : on parle de "flûte" pour désigner la baguette, et de "baguette" pour désigner la ficelle (laquelle peut aussi être désignée ainsi).
En France depuis le décret 93-1074 du 13 septembre 1993, l'appellation « baguette de tradition française » répond à une définition stricte[1] précisée par le décret no 97-917 du 1er octobre 1997[2].
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551
ทฤษฏี Big Bang
The Big Bang is the cosmological model of the universe that is best supported by all lines of scientific evidence and observation. The essential idea is that the universe has expanded from a primordial hot and dense initial condition at some finite time in the past and continues to expand to this day. Georges Lemaître proposed what became known as the Big Bang theory of the origin of the Universe, although he called it his 'hypothesis of the primeval atom'. The framework for the model relies on Albert Einstein's General Relativity as formulated by Alexander Friedmann. After Edwin Hubble discovered in 1929 that the distances to far away galaxies were generally proportional to their redshifts, this observation was taken to indicate that all very distant galaxies and clusters have an apparent velocity directly away from our vantage point. The farther away, the higher the apparent velocity.[1] If the distance between galaxy clusters is increasing today, everything must have been closer together in the past. This idea has been considered in detail back in time to extreme densities and temperatures, and large particle accelerators have been built to experiment on and test such conditions, resulting in significant confirmation of the theory. But these accelerators can only probe so far into such high energy regimes. Without any evidence associated with the earliest instant of the expansion, the Big Bang theory cannot and does not provide any explanation for such an initial condition, rather explaining the general evolution of the universe since that instant. The observed abundances of the light elements throughout the cosmos closely match the calculated predictions for the formation of these elements from nuclear processes in the rapidly expanding and cooling first minutes of the universe, as logically and quantitatively detailed according to Big Bang nucleosynthesis.
In 1931 Lemaître went further and suggested that the evident expansion in forward time required that the universe contracted backwards in time, and would continue to do so until it could contract no further, bringing all the mass of the universe into a single point, a "primeval atom", at a point in time before which time and space did not exist. As such, at this point, the fabric of time and space had not yet come into existence. This perhaps echoed previous speculations about the cosmic egg origin of the universe.
Starting in 1924, Hubble painstakingly developed a series of distance indicators, the forerunner of the cosmic distance ladder, using the 100-inch (2,500 mm) Hooker telescope at Mount Wilson Observatory. This allowed him to estimate distances to galaxies whose redshifts had already been measured, mostly by Slipher. In 1929, Hubble discovered a correlation between distance and recession velocity—now known as Hubble's law. Lemaître had already shown that this was expected, given the Cosmological Principle.
After World War II, two distinct possibilities emerged. One was Fred Hoyle's steady state model, whereby new matter would be created as the universe seemed to expand. In this model, the universe is roughly the same at any point in time. The other was Lemaître's Big Bang theory, advocated and developed by George Gamow, who introduced big bang nucleosynthesis and whose associates, Ralph Alpher and Robert Herman, predicted the cosmic microwave background radiation. Ironically, it was Hoyle who coined the phrase that came to be applied to Lemaître's theory, referring to it derisively as "this big bang idea" during a BBC Radio broadcast in March 1949. For a while, support was split between these two theories. Eventually, the observational evidence, most notably from radio source counts, began to favor the latter. The discovery and confirmation of the cosmic microwave background radiation in 1964 secured the Big Bang as the best theory of the origin and evolution of the cosmos. Much of the current work in cosmology includes understanding how galaxies form in the context of the Big Bang, understanding the physics of the universe at earlier and earlier times, and reconciling observations with the basic theory.
Huge strides in Big Bang cosmology have been made since the late 1990s as a result of major advances in telescope technology as well as the analysis of copious data from satellites such as COBE, the Hubble Space Telescope and WMAP. Cosmologists now have fairly precise measurement of many of the parameters of the Big Bang model, and have made the unexpected discovery that the expansion of the universe appears to be accelerating.
วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551
Mother' s Day
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
อาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคม : แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง